ความน่ากลัว !!! ของการมีรายได้เพียงทางเดียว

lightning_vienna-wallpaper-1366x768

หลายๆคนคงจะได้ยินวลีที่ว่า “อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าเพียงใบเดียว”  วลีนี้เราจะมักได้ยินจากนักลงทุนหลายๆคน ที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งอาจจะมีบางคนอาจจะเข้าใจไปถึงเรื่องการลงทุนในหุ้น ทองคำ และคิดไปว่านักลงทุนนั้นจะต้องร่ำรวยจึงจะสามารถทำได้ แต่ถ้าจะคิดในแง่ของพนักงานประจำหลายๆคน ก็อาจจะกล่าวไปถึงการมีรายได้ทั้งหมดกี่ทาง การเป็นพนักงานประจำรับค่าจ้างเป็นรายเดือนสำหรับบางคนก็อาจจะเป็นรายได้เพียงทางเดียว ถ้าไม่มีเงินเดือนก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตเป็นปกติได้ การมีรายได้ทางเดียวแบบนี้ก็เหมือนเรามีไข่ในตะกร้าของเงินเดือนที่ได้รับประจำเท่านั้น ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาก็จะคงลำบาก แต่ถ้าใครที่มีความตระหนักในเรื่องนี้ ก็จะสามารถจัดสรรเงินเดือนดังกล่าวไปลงทุน หรือหารายได้เพิ่มอีกหลายๆทาง

จากการอ่านหนังสือหลายๆเล่ม ที่เกี่ยวกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จ อาทิเช่น “งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า” ของคุณบอย วิสูตร ก็ได้กล่าวสนับสนุนให้ทุกคนควรมีรายได้หลายๆทาง การมีรายได้หลายๆทางนั้นมีได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บออมแล้วนำไปลงทุนในหน่วยลงทุนที่ดี เช่นกองทุนรวม หรือบางคนอาจใช้ช่วงเวลาว่างในการทำรายได้เสริม เช่น งานขายต่างๆ เป็นต้น

ผู้ที่ประสบความสำเร็จกล่าวสนับสนุนเรื่องการมีรายได้หลายๆทาง ก็เพื่อให้เกิดความปลอดภัยของชีวิตและครอบครัว การมีรายได้หลายๆทางเปรียบเสมือนสายน้ำหลายๆสายที่มาบรรจบยังแม่น้ำใหญ่ เมื่อสายน้ำบางสายเหือดแห้ง แต่ก็ยังมีสายน้ำอื่นๆที่คอยสนับสนุนอยู่ ชีวิตก็ไม่เครียด ไม่เกิดความแตกแยกในครอบครัว

พนักงานประจำหลายๆคน จะไม่มีความคิดเรื่องการสร้างรายได้หลายๆทาง แต่มารู้ตัวเมื่อครั้งที่เกิดวิกฤติ ซึ่งมันก็สายไปมากแล้ว เช่น อายุมากใกล้เกษียณ หรือ เกิดความจำเป็นบางอย่างที่ต้องใช้เงิน หรือแม้กระทั่งต้องตกงาน การผ่อนคลายหลังเลิกจากงานประจำนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ความตระหนักถึงอนาคตนั้นสำคัญกว่ามาก จะต้องจัดสรรกันให้ดี ระวังในเรื่องของความคิดเรื่องโลกสวยมากเกินไป คิดดูให้ดีว่ารายได้หายจะโลกสวยกันได้มั้ย ลองสังเกตุดูเพื่อนร่วมงานของเราเป็นเช่นไร บางคนจำเป็นต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดในช่วงใกล้สิ้นเดือน บางคนซื้อสิ่งของโดยการใช้เงินในอนาคต แล้วบอกว่าจะขอชำระสิ้นเดือน หรือเมื่อจะทำกิจกรรมต่างๆพอจะมีค่าใช้จ่าย ก็มักได้ยินคำว่ารอสิ้นเดือนได้มั้ย นี่แหละครับมันคือวัฒนธรรมจนเป็นนิสัยของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่หวังพึ่งแต่เพียงเงินเดือนเท่านั้น และที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นคือ นิสัยเรื่องการเก็บออมก็ไม่มีเลย

คุณจักรพงษ์  เมษพันธุ์ เป็นนักลงทุนที่เชี่ยวชาญด้านการเงินและเป็นวิทยากรเกี่ยวกับการจัดการเรื่องการเงิน ได้กล่าวไว้ว่า ทุกๆครั้งที่มีรายได้เข้ามา จะต้องแบ่งเก็บออมไว้ประมาณ 10% ถ้าไม่มีการเก็บออมเลย อย่าเพิ่งมาพูดกันในเรื่องของความมั่งคั่ง

สำหรับตัวผมเองเคยพบเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องเปลี่ยนความคิดในเรื่องการสร้างรายได้หลายๆทาง เมื่อครั้งเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2554 ในปีนั้นอุทกภัยได้ครอบคลุมหลายพื้นที่ และหนักที่สุดในรอบหลายๆปี และผมก็คิดว่าหนักที่สุดตั้งแต่ผมได้เกิดมา อุทกภัยได้ทำให้นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทุกแห่งต้องจมอยู่ใต้น้ำ สำหรับจังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้นเป็นแหล่งของอุตสาหกรรมที่สำคัญมากของประเทศ และเป็นระยะเวลานานหลายเดือนกว่าจะฟื้นฟูกันได้ ในช่วงนั้นมีสินค้าหลายประเภทต้องขาดแคลน มีผลต่อเศรษฐกิจครั้งใหญ่พอสมควร แต่ผมก็โชคดีที่บริษัทที่ผมได้ทำงานประจำอยู่นั้น มีนโยบายฟื้นฟูเร่งด่วน และพร้อมจ่ายค่าจ้างเต็มจำนวน ซึ่งเป็นพระคุณต่อพนักงานหลายๆคน

แต่หลายๆบริษัทไม่โชคดีเหมือนบริษัทผม บางรายจ่ายค่าจ้างเพียงครึ่งเดือน หรือไม่จ่ายเลย แต่ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ บริษัทได้ประกาศปิดตัวลง ลองคิดดูให้ดีว่าถ้าเราเองมีรายได้เพียงทางเดียว จะเกิดความเครียดระดับไหน ถ้าเราไม่โชคดีได้ทำงานในบริษัทที่ดูแลเรา ชะตากรรมของคนมีรายได้ทางเดียวจะเป็นเช่นไร

แม้ตอนนั้นตัวผมเองจะไม่กระทบเรื่องรายได้ เนื่องจากบริษัทมีนโยบายที่ดี แต่ก็ทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไปเยอะมากเลยทีเดียว ก่อนหน้านั้นในใจก็คิดเพียงว่าตัวเราเองมั่นคงที่ได้ทำงานในบริษัทชั้นนำ มียอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้รูปแบบการบริหารจะดีเพียงไร แต่ภัยธรรมชาติก็ไม่ได้เหลียวแลหรือยกเว้น และมันก็คือตัวแปรที่เราไม่เคยคาดการณ์มาก่อนเลย

ดังนั้นจึงควรที่จะตระหนักในเรื่องนี้เป็นสำคัญ การพักผ่อนก็เป็นสิ่งที่ดีแต่ควรอยู่ในขอบเขตจำกัด ควรอ่านหนังสือประเภท “How to Success” มากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ทราบถึงแนวคิดของผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้นเขาทำกันอย่างไรและคิดกันอย่างไร สนทนาและหาความรู้กับผู้ที่ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเพื่อดำเนินเป็นแบบอย่าง จะได้ทำให้ตัวเองนั้นได้สร้างคุณค่าต่อไป

คุณบอย วิสูตร ได้เขียนแนวคิดไว้ในหนังสือชื่อ “งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า” ไว้ว่า ตัวเราทุกคนล้วนมีศักยภาพ อย่าปล่อยให้ตัวเองยึดติดหลงในความปลอดภัยในการทำงานประจำเพียงอย่างเดียว และกล่าวสนับสนุนให้สร้างคุณค่าให้ตัวเองมีรายได้เพิ่ม อาทิเช่น การปันผลจากกองทุนรวม และค่าลิขสิทธิ์

การสร้างรายได้เพิ่มมีหลายรูปแบบ สามารถทำเพิ่มเติมจากงานประจำที่มีอยู่ อาทิเช่น

1. การค้าขาย

2. การรับจ้าง เช่น รับแปลเอกสาร รับพิมพ์งาน

3. การตลาดแบบเครือข่าย

4. การลงทุนในกองทุน ต่างๆ

5. การขายประกัน

6. การทำงานออนไลน์ที่มีหลายรูปแบบ

7. การพัฒนาสินค้าลิขสิทธิ์ของตนเอง

8. รับจ้างสอนพิเศษ

7. และอื่นๆ อีกมากมาย ขอให้สุจริต

นอกจากคุณบอย วิสูตร จะกล่าวสนับสนุนในเรื่องนี้ ก็มีท่านอื่นๆได้กล่าวไว้ว่า การที่เราได้เริ่มสร้างรายได้เพิ่มไม่ว่าจะช่องทางใดก็ตาม เป็นการฝึกให้เรามีพัฒนาการและมีทักษะเพิ่มขึ้น เมื่อเราเกิดวิกฤติจะส่งผลให้ตัวเราเอง ปรับสถานการณ์ได้ดีกว่าคนอื่นที่ไม่เคยคิดจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นมาเลย

สำหรับผู้เริ่มต้น ควรทำตัวสบายให้พอดี อย่าลืมตัวเรื่องเป้าในอนาคต เพราะฉะนั้นเมื่อมีความคิดที่ใหญ่กว่าคนทั่วไป จะสบายเท่าเดิมเหมือนที่เป็นอยู่คงจะไม่ได้

สำหรับตัวผมนั้น ได้สนใจการสร้างรายได้ในรูปแบบงานออนไลน์ที่มีหลากหลาย แล้วคุณรู้หรือยังว่าจะทำอะไรเพิ่มเติม

สุดท้ายผมขอแนะนำแหล่งความรู้การเงินที่ดีมากก็คือช่องยูทูปของคุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์ หรือ The Money Coach ลองเข้าไปรับชมรับฟังแนวคิดที่นำไปต่อยอดได้ดีมากๆ ที่ลิ้งก์นี้ >> www.youtube.com/user/moneycoach4thai

เรามาเริ่มสร้างรายได้เพิ่มอีกหลายๆทางกันเถอะครับ